Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.



 
บ้านบ้าน  Latest imagesLatest images  ค้นหาค้นหา  สมัครสมาชิก(Register)สมัครสมาชิก(Register)  เข้าสู่ระบบ(Log in)  

 

 นิทาน เซนต์...(ดีดีดี)

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Admin
Admin
Admin


จำนวนข้อความ : 220
Join date : 05/08/2009
Age : 43

นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: นิทาน เซนต์...(ดีดีดี)   นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) EmptySun Mar 28, 2010 1:27 pm


ตัวรู้
อยู่กับปัจจุบัน
ปฏิบัติธรรมอย่างไร
ชาล้นถ้วย
ไม่เหลือจิตปกติธรรมดา
นกที่บินหลงทาง
ผิดบาปที่ใคร
นายพลจะออกบวช
อะไรคือโฉมหน้าดั้งเดิมก่อนเราเกิดมา
สังฆปริณายกองค์ที่ 4กับฝ่าหยง
รู้ว่าเดินผิดทางแล้วละ
ตกปลา
กล้วยไม้
ดอกไม้กับการปฏิบัติธรรม
เพชรอยู่หลังบ้านเจ้า
บินข้ามความเป็นความตาย




ละเว้นความชั่วทั้งปวงกระทำแต่ความดี
รสแห่งเซน
สวยเพียบพูนด้วยเสน่ห์
อุทิศส่วนกุศล
ใครคือขี้วัว
นรก
ตะขาบ
๑๘ อรหันต์ทองคำ
เงินแลกกับปัญญา
เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ
เจ้าแม่กวนอิมแสดงธรรม
คำสอนของปรมาจารย์ตั้กม๊อ
ไม่พึ่งพิงตัวอักษร
ดอกไม้กับการปฏิบัติธรรม
ทางแห่งความสุข



นิทานเซนต์ทั้งหมด
นี้ ได้มาจาก www.chongter.com นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) Icon_lol นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) Icon_lol
ขอบคุณสำหรับ... ผู้ที่มีส่วนรวบรวมนิทานเซนต์ทั้งหมดนี้ไม่ว่าเป็นคนต้นคิดเรื่อง หรือคนบันทึกต่อๆกันมานะครับ

ตัวรู้
นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) 2copyre3

ครั้งหนึ่ง
ท่านเว่ยหล่างไปพักค้างแรมที่บ้านหลังหนึ่ง
ขณะที่กำลังจะนอนพักผ่อนในช่วงบ่าย
ได้ยินเสียงคนกำลังสวดมนต์
เลยลุกขึ้นไปถามผู้นั้นว่า
“เจ้าเข้าใจความ
หมายของบทที่สวดหรือเปล่า ”

“บาง
ตอนเข้าใจยากจริงๆ”


ท่านเว่ยหล่างเลยอธิบายให้ฟังบางตอนของ
บทสวดว่า
“เมื่อเราอยู่ในโลกแห่งมายาจอมปลอม
นี้จนผมหงอกขาวหมดไปทั้งหัวแล้ว พวกเราต้องการอะไร?
และเมื่อไฟแห่งชีวิต
กำลังจะมอดลง ใจเต้นอ่อนลง และลมหายใจกำลังจะขาดรอนๆ
อะไรคือสิ่งสุดท้ายที่เราหวัง?
และเมื่อกายของเรากำลังเน่าเปื่อยอยู่ใน
สุสาน ธาตุกลับคืนสู่ธาตุ ธาตุดินสู่ดิน
ชีวิตกลายเป็นสิ่งไร้ความรู้สึก
ในความว่างเปล่า...
แล้วเราอยู่ที่
ไหน?”


คนที่สวดมนต์นั้นได้ชี้คำหลายคำในคัมภีร์ที่ไม่เข้า
ใจความหมายแล้วถาม...
ท่านเว่ยหล่างยิ้มๆแล้วตอบว่า
“ข้าพเจ้าไม่รู้หนังสือ ท่านถามมาเลยดีกว่า"

คนๆ
นั้นรู้สึกแปลกใจแล้วพูดขึ้นว่า
“ท่าน
อ่านหนังสือไม่ออก ท่านจะเข้าใจความหมาย เข้าใจหลักธรรมได้อย่างไร?”


ท่าน
เว่ยหล่างตอบว่า
“หลักธรรมของพุทธะ
กับตัวหนังสือไม่เกี่ยวกัน
ตัวหนังสือเป็นเพียงเครื่องมือที่จะเรียนรู้
สิ่งที่จะเข้าใจหลักธรรมคือจิต คือตัวรู้ ไม่ใช่ตัวหนังสือ"


ท่าน
เว่ยหล่างรับตำแหน่งพระสังฆนายกโดยที่ยังไม่ได้บวช
หลังรับตำแหน่งต้อง
หนีภัยจากพระที่เป็นศิษย์พี่ ไปอยู่ในป่ากับพรานป่า 15 ปี
ถึงจะกลับมาในเมืองแล้วบวช


อยู่กับปัจจุบัน
นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) 3001copypr3


พระชิงหลวนแห่งญี่ปุ่น เมื่อตอนที่อายุ 9 ขวบ
ก็คิดที่จะออกบวช
จึงไปขอบวชกับพระอาจารย์ฉือเจิ้น พระอาจารย์บอกว่า
“เจ้าอายุยังน้อย คิดจะบวชทำไม ?”

ชิง
หลวนตอบว่า
“แม้ข้าพเจ้าจะอายุยังน้อย
แต่พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว
และเพราะเหตุว่าข้าพเจ้าไม่รู้ว่า
คนเราทำไมต้องตาย
ทำไมต้องแยกจากพ่อแม่เพื่อที่จะสืบค้นหาต้นตอของสิ่ง
เหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงต้องบวช”


พระอาจารย์รู้สึกชมชอบ
อุดมการณ์อันดีนั้น จึงพูดว่า
”ดีแล้ว
อาจารย์จะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่คืนนี้ก็ค่ำแล้ว
ไว้พรุ่งนี้จะทำการบวชให้เจ้า”


แต่ชิงหลวนพูดว่า
“ข้าพเจ้าอายุยังน้อย
ไม่ทราบว่าจะรักษาความคิดที่จะบวชจนถึงพรุ่งนี้ได้หรือเปล่า
และท่าน
อาจารย์ก็อายุมากแล้ว ก็ไม่สามารถจะรับรองได้ว่า
พรุ่งนี้เช้าอาจารย์จะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือเปล่า”


พระ
อาจารย์ฟังแล้วรู้สึกปลื้มปีติยิ่งนัก บอกว่า
“ถูกต้อง เจ้าพูดไม่ผิดเลย ตอนนี้จะบวชให้เจ้าทันที”

ที่
เมืองจีนสมัยราชวงศ์ถัง ผู้ที่จะบวช จะต้องผ่านการสอบคัดเลือกก่อน
พระ
ถังซำจั๋งตอนนั้นอายุเพียง 12 ปี สอบไม่ผ่าน รู้สึกเสียใจจนร้องไห้
ผู้
คุมสอบ เจิ้งซ่านกว่อ ถามว่า...“ร้องไห้ทำไม”

ซำ
จั๋งตอบว่า
“อยากสืบทอดศาสนาของพระ
พุทธองค์ และให้เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วปฐพี”

ผู้
คุมเห็นอุดมการณ์อันสูงส่งนั้น จึงอนุญาตให้บวช
ซึ่งต่อมาทั้งสองท่านก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
และทำคุณประโยชน์ให้กับ
ศาสนามากจริงๆ

ปฏิบัติธรรมอย่างไร
นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) Copysd0

พระอาจารย์ว้อหลุนหลังจากบำเพ็ญเพียรอยู่หลายปี
ก็นึกว่า ตนเองรู้แจ้งแล้ว จึงไปหาท่านเว่ยหล่างเพื่อทดสอบภูมิธรรม
พร้อมกับเขียนโศลกว่า

ว้อหลุนมีเทคนิคและวิธี
ที่จะสามารถดับร้อยความคิดได้
สิ่งที่มากระทบจิตไม่เกิด
ต้นโพธิ์เติบโตขึ้นทุกวัน
卧 轮 有 伎 俩 能 断 百 思 想
对 境 心 不 起 菩 提 日 日 长


(โศลก
บทนี้ต้องกำกับภาษาจีนด้วยเพราะแตกต่างจากที่ท่านพุทธทาสแปลไว้เล็กน้อย)

ท่าน
เว่ยหล่างเมื่ออ่านแล้วได้พูดกับลูกศิษย์ว่า
ว้อหลุนยังไม่ได้เข้าถึงหลักธรรมอย่างแท้จริง
หากปฏิบัติธรรมลักษณะนี้ต้องตายแน่
คิดว่าสิ่งที่มากระทบจิตไม่เกิดเป็นความสามารถอย่างสูง
เป็นความเข้าใจที่ผิด เราปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพุทธะที่มีชีวิต
ไม่ใช่เป็นพุทธะที่ตายแล้ว กลายเป็น ทองไม้ดินหรือหิน
แล้วจะเป็นพุทธะอย่างไร ไม่สามารถฉุดช่วยผู้คน แล้วจะมีประโยชน์อะไร

ท่าน
เว่ยหล่างจึงแต่งโศลกตอบไปว่า

เว่ยหล่างไม่มีเทคนิคและวิธี
ร้อยความคิดก่อเกิดไม่มีหยุด
สิ่งที่มากระทบจิตย่อมเกิด
แล้วต้นโพธิ์จะเติบโตได้อย่างไร
慧 能 沒 伎 俩 不 断 百 思 想
对 境 心 数 起 菩 提 作
麼 长

เหล่าลูกศิษย์ไม่เข้าใจ ท่านเว่ยหล่างจึงอธิบายให้ฟังว่า
ทุกสิ่งที่ต้องใช้เทคนิคและวิธีล้วนแต่ต้องใช้ความสามารถ
จิตย่อมจดจ่ออยู่กับความสามารถในการกระทำนั้น
ยังเป็นการยึดติดอยู่กับการกระทำ ยังใช้ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องไปดับความคิด
ไม่มีความคิดแล้วจะไปทำอะไรได้
หากไม่มีความคิดก็เหมือนกับก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง
เหมือนกับเวลาที่เราแสดงธรรมหรือฟังธรรมต้องใช้ความคิดร่วมด้วย
แม้มีความคิดแต่ไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์นั้น ก็เหมือนกับไม่มีความคิด
ส่วนต้นโพธิ์นั้นแสดงถึงจิตเดิมแท้ของพุทธะ ไม่เพิ่มไม่ลด ไม่เกิดไม่ดับ
แม้จะปฏิบัติธรรมจนเป็นพุทธะแล้ว ก็ไม่ได้เพิ่มอะไรแม้แต่นิดเดียว
แล้วจะมีอะไรเติบโตได้อย่างไร

ชาล้นถ้วย


นันอินเป็นอาจารย์เซ็นชาวญี่ปุ่น มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์เมจิ (พ.ศ. ๒๔๑๑ -
๒๔๕๕ )คราวหนึ่งได้ต้อนรับศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง
ผู้ไปสอบถามเกี่ยวกับลัทธิเซ็น

อาจารย์นันอินเลี้ยงน้ำชาอาคันตุกะผู้นี้ด้วยตนเอง
ท่านรินน้ำชาใส่ถ้วยจนล้นถ้วย แล้วยังรินต่ออยู่อย่างนั้นไม่หยุด
ท่านศาสตราจารย์มองดูอดรนทนไม่ได้ จึงร้องขึ้นว่า
"มันล้น
แล้วครับท่าน รินต่อไปอีกไม่ได้แล้ว"
อาจารย์นันอินตอบว่า

"เช่นเดียวกันแหละ เจริญพร ท่านเองก็เต็มไปด้วยทฤษฎีต่างๆ
อาตมาจะสอนเซ็นให้ท่านได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ทำให้ถ้วยของท่านว่างเปล่าเสียก่อน"


คุณยังไม่วางอีกหรือ


วันหนึ่ง อาจารย์ตันซาน กับอาจารย์เอกิโด
เดินทางไปตามถนนเฉอะแฉะด้วยโคลนสายหนึ่งขณะฝนกำลังตกหนัก
พอเดินมาถึงหัวเลี้ยวแห่งหนึ่ง
พบหญิงสาวสวยคนหนึ่งแต่งชุดกิโมโนมีพู่ห้อยยาว รีรอจะข้ามถนนอยู่

"มานี่หนู" ตันซานเรียก แล้วตรงรี่เข้าอุ้มเธอข้ามโคลนไป

เอกิโดตกใจมาก แต่ไม่กล้าปริปาก จนทั้งสองเดินทางมาถึงสำนักในตอนกลางคืน
เอกิโดอดรนทนไม่ได้จึงพูดกับตันซานว่า

"พระเราแตะต้องผู้หญิงไม่ได้ โดยเฉพาะสาวสวยเช่นนั้นยิ่งอันตราย
ทำไมท่านกล้าทำถึงขนาดนั้น"
ตันซานตอบว่า

"ผมวางเธอไว้ที่นั่นตั้งนานแล้ว คุณยังอุ้มเธออยู่หรือนี่"


ยังงั้นรึ


พระอาจารย์เซ็นชื่อฮะกูอิน
ได้รับยกย่องจากชาวบ้านว่าเป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอย่างบริสุทธิ์ ณ
ที่ใกล้วัดของท่าน มีร้านขายของชำอยู่ร้านหนึ่ง
เจ้าของร้านมีลูกสาวสวยอยู่คนหนึ่ง จู่ๆ พ่อแม่ของหญิงสาวได้พบว่า
ลูกสาวของตนได้ตั้งท้องขึ้นโดยไม่รู้เบาะแสมาก่อน

เหตุการณ์นี้ทำให้เขาทั้งสองโกรธมาก จึงพยายามเค้นเอาความจริง
ลูกสาวใจเด็ดไม่ยอมปริปากบอกว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง แต่ในที่สุด
เมื่อถูกบังคับขู่เข็ญนักเข้า จึงหลุดปากออกมาว่า
พ่อของเด็กคือท่านอาจารย์ฮะกูอิน

สองตายายจึงวิ่งแจ้นไปด่าว่าอาจารย์ฮะกูอินด้วยความโกรธจัด
ท่านอาจารย์ย้อนถามว่า"ยังงั้นรึ"

เมื่อเด็กเกิดมาแล้ว
พ่อแม่ของหญิงสาวได้นำเด็กไปให้อาจารย์ฮะกูอินเลี้ยง
มาถึงตอนนี้ชื่อเสียงของท่านได้เสื่อมไปหมดแล้ว
แต่ท่านก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร เอาใจใส่เลี้ยงดูเด็กอย่างดี
โดยซื้อนมและอาหารที่จำเป็นสำหรับเจ้าหนูน้อยจากชาวบ้านข้างเคียง

หนึ่งปีให้หลัง แม่ของเด็กสุดที่จะทนดูเหตุการณ์ต่อไปได้
จึงสารภาพความจริงกับพ่อแม่ว่า พ่อที่แท้จริงของเด็กนั้นคือ
เจ้าหนุ่มที่ตลาดขายปลา หาใช่ท่านอาจารย์ฮะกูอินไม่

สองตายายได้ฟังดังนั้นจึงรีบไปหาท่านอาจารย์ฮะกูอิน
ขอโทษขอโพยในความผิดของตนอย่างยืดยาวและขอรับเด็กกลับ

ท่านอาจารย์ฮะกูอินย้อนถามเช่นเดิมว่า"ยัง
งั้นรึ"
แล้วนำเด็กมามอบให้

ความเจริญสุขที่แท้จริง


เศรษฐีคนหนึ่ง
ขอให้อาจารย์เซ็นไกเขียนคาถาอวยพรให้ครอบครัวของเขามีความเจริญรุ่งเรืองและ
ร่ำรวยตลอดกาลนาน
อาจารย์เซ็นไกหากระดาษแผ่นใหญ่มาแผ่นหนึ่งแล้วเขียนลงไปว่า
"ขอให้พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย"

"ผมบอกให้ท่านเขียนคำอวยพรให้ครอบครัว ของผมมีความสุข
ทำไมท่านจึงมาเขียนเรื่องอัปมงคลเช่นนี้" อาจารย์อธิบายว่า

"ไม่ใช่เรื่องอัปมงคล ถ้าลูกโยมตายก่อนโยมโยมย่อมจะเศร้าโศกเสียใจมาก
ถ้าหลานโยมตายก่อนโยมและลูก ทั้งโยมและลูกย่อมจะเศร้าโศกปิ่มว่าสายใจจะขาด
ที่นี้ถ้าแต่ละคนตายไปตามลำดับ ดังที่อาตมาเขียนไว้นี้
ทุกอย่างจะเป็นไปตามธรรมดาของชีวิต สิ่งนี้แหละอาตมาว่าเป็นความเจริญที่แท้จริง"

ผิดกับถูก


เวลาที่อาจารย์บันไกจัดสัปดาห์แห่งการปฏิบัติกรรมฐาน
มีศิษย์อยู่ปฏิบัติจากส่วนต่างๆของประเทศญี่ปุนเป็นจำนวนมาก
คราวหนึ่งศิษย์คนหนึ่งโดนจับด้วยข้อหาลักทรัพย์
พวกเขาจึงรายงานให้อาจารย์บันไกทราบ พร้อมเสนอให้เนรเทศเจ้าขโมยคนนั้น
แต่อาจารย์บันไกก็เฉยเสีย
ต่อมา
ศิษย์คนนั้นโดนจับด้วยความผิดเช่นเดียวกัน อาจารย์บันไกก็เฉยเสียอีก
เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ไม่พอใจ
จึงยื่นข้อเสนอให้อาจารย์ขับเจ้าหัวขโมยคนนั้นออกให้ได้
หาไม่พวกเขาจะพากันออกไปหมด
เมื่ออ่านข้อเสนอ
อาจารย์บันไกเรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด กล่าวว่า "พวกเธอเป็นคนฉลาด
รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก พวกเธอจะไปที่ไหนก็ไปเถิด
แต่ศิษย์ผู้น่าสงสารคนนี้ ไม่รู้กระทั่งว่าอะไรผิดอะไรถูก
ถ้าฉันไม่สอนเขา แล้วใครเล่าจะสอน ฉันจะต้องให้เขาอยู่ที่นี่แหละ
แม้ว่าพวกเธอจะจากฉันไปทั้งหมดก็ตาม"

น้ำตาได้ไหลอาบแก้มเจ้าศิษย์ขี้ขโมย เขาตัดสินใจเลิกขโมยแต่นั้นมา

ไม่
เหลือจิตปกติธรรมดา


นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) 001copyqp1
ลูกศิษย์คนหนึ่งมาถามพระอาจารย์ว่า “
ศิษย์นั่งสมาธิทุกวัน สวดมนต์บ่อยๆ นอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้า
จิตไม่คิดฟุ้งซ่าน ในสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้
รู้สึกจะไม่มีใครขยันไปกว่าข้าพเจ้า แล้วทำไมถึงยังไม่รู้แจ้งสักที “

พระ
อาจารย์นำน้ำเต้า และเกลือหยาบให้ลูกศิษย์ แล้วบอกว่า “
เจ้านำน้ำเต้านี้ไปใส่น้ำให้เต็ม แล้วใส่เกลือเข้าไป ถ้าหากมันละลายทันที
เจ้าจะรู้แจ้งทันที “

ลูกศิษย์ทำตามวิธีที่อาจารย์บอก
สักครู่ก็กลับมาบอกว่า
“ ปากน้ำเต้าเล็กไป ใส่เกลือลงไปมันไม่ละลาย
เอาตะเกียบลงไปก็คนไม่สะดวก ดูแล้วศิษย์คงจะไม่สามารถรู้แจ้งได้แล้ว “

พระ
อาจารย์เลยเทน้ำออกไปบางส่วน ใส่เกลือลงไปแล้วเขย่า
สักประเดี๋ยวเกลือก็ละลาย พระอาจารย์พูดต่อว่า “ ขยันทั้งวัน
ไม่เหลือจิตปกติไว้บ้าง ก็เหมือนกับน้ำเต้าที่ใส่น้ำจนเต็มแล้วเขย่าไม่ได้
คนไม่ได้ จะละลายเกลือได้อย่างไร แล้วจะรู้แจ้งได้อย่างไร? “

“หรือ
ว่าไม่ขยันแล้วจะรู้แจ้งได้ “ ลูกศิษย์ถาม “
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนการดีดพิณ สายพิณตึงเกินไป ย่อมขาดง่าย
สายพิณที่อ่อนเกินไปก็ไม่เกิดเสียง ทางสายกลาง จิตปกติธรรมดา
ถึงจะเป็นฐานที่ทำให้เกิดการรู้แจ้ง “

นก
ที่บินหลงทาง

นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) 050720home04ec8

ที่ภูเขาต้าเยี่ยน
มีพระรูปหนึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น ท่านเป็นพระที่เทศน์เก่งมาก
ท่านมักจะใช้สิ่งที่มีชีวิตรอบตัวสอดแทรกธรรมะ
จากนั้นก็ใช้คำง่ายๆแต่งเป็นโศลก

มีอยู่ครั้งหนึ่ง
อุบาสกท่านหนึ่งถามท่านว่า

“ มีคนพูดกันว่า
การบูชาใดๆต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงในสากลโลก
ก็ไม่เท่ากับการบูชาต่อผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งมรรคเพียงคนเดียว
ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเป็นอย่างไร ?
คนเดินตามทางเดินแห่งมรรคมีบุญกุศลใด “

พระรูปนั้นพูดเป็นโศลก ว่า


เพียงแค่มีเมฆหมอกมาบดบัง นกก็ยังหลงทางบินกลับรัง "

"
เป็นเพราะว่ามีเมฆหมอกมาปิดทางกลับรังของนก นกจึงหาทางกลับรังไม่ถูก
ถ้าเรามัวแต่บูชาพระพุทธองค์ จิตย่อมจดจ่อและยึดติดอยู่กับองค์พระ
ทำให้ตัวเองกลับเดินหลงทาง ผู้ที่เดินตามทางแห่งมรรคย่อมทำให้จิตตัวเอง
สะอาด และสว่างกลับมารู้จักตัวเอง จิตจึงไม่หลงทาง “

อุบาสกคนนั้น
ถามต่อว่า โบสถ์วิหารเป็นดินแดนแห่งความสงบ
และสะอาด
ทำไมถึงต้องตีกลองและเคาะ “ ปลาไม้ ”

พระรูปนั้นตอบเป็นโศลกว่า


เพื่อตีให้เสียงก้องกังวานไป เพื่อมิให้เหล่ามังกรนั่งคำนับ “

วัด
ที่เงียบสงบต้องตีกลองและเคาะ “ ปลาไม้ ”มีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ในนั้น
ธรรมดาปลาอยู่ในน้ำ ไม่เคยปิดตา ดังนั้นการเคาะ ”ปลาไม้”
จึงเป็นการแสดงถึงความขยันฝึกฝน ไม่เกียจคร้าน
การตีกลองก็เพื่อย้ำเตือนให้ผู้คน เลิกทำบาป และสร้างกุศล

อุบาสก
ท่านนั้นถามต่ออีกว่า

“ เมื่อปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านก็ได้
ทำไมถึงต้องออกบวชอีก “

พระรูปนั้นตอบเป็นโศลกว่า


นกยูงแม้จะมีปีกที่สวยงาม แต่ก็บินได้ไม่สูงเฉกเช่นนกอื่น “

"
การปฏิบัติธรรมที่บ้านเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อบวชแล้วย่อมจะตั้งมั่น
และแน่วแน่กว่า ย่อมจะไปได้ไกลกว่า “

ผิด
บาปที่ใคร

นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) Copyfw1

ศิษย์และอาจารย์เดินผ่านท่าน้ำริมทะเล
เห็นชาวเรือกำลังจะนำเรือออกจากท่าเพื่อที่จะไปส่งผู้โดยสาร
หลังจากเรือลงน้ำไปแล้ว ที่ชายหาดมี กุ้ง หอย ปู ปลา โดนทับตายเป็นจำนวนมาก
ทำให้เห็นแล้ว รู้สึกน่าสงสารยิ่งนัก

ลูกศิษย์ :
ขณะที่ชาวเรือนำเรือออกไปนั้น ทำให้ กุ้ง หอย ปู ปลาแถวนั้นตายไปไม่น้อย
ขอถามหน่อยว่า เป็นความผิดบาปของชาวเรือหรือผู้โดยสาร

พระอาจารย์ :
ไม่ได้เป็นบาปของชาวเรือ และไม่ได้เป็นบาปของผู้โดยสาร

ลูกศิษย์ :
ถ้าไม่ได้เป็นบาปของทั้งสองฝ่าย แล้วจะเป็นบาปของใคร

พระอาจารย์ :
ก็เป็นของเจ้านะซี

พระอาจารย์พูดต่อว่า “
พุทธศาสนาแม้จะพูดถึงวัฏสงสาร แต่ในแง่ของคน เมื่อพูดในฐานะเป็นมนุษย์
เรื่องราวบางอย่าง บางครั้งก็ไม่สามารถพูดให้ชัดแจ้งลงไปได้
ชาวเรือประกอบอาชีพนี้เพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้อง
ผู้โดยสารจำเป็นต้องขึ้นเรือ เพราะต้องเดินทาง กุ้ง ปู โดนเรือกดทับ
เพราะซ่อนตัวอยู่ในทราย นี่เป็นความผิดใคร ?

กรรมเกิดจากจิต
จิตไม่มี กรรมก็ไม่มี
จิตไม่มี จะสร้างกรรมได้อย่างไร
แม้จะมีบาปกรรม
ก็เป็นบาปที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ

แต่เจ้า สิ่งที่ไม่มีสร้างให้มี
สร้าง
ผิดถูกขึ้นมาเอง
แล้วนี่จะไม่ใช่ผิดบาปที่เจ้าหรอกหรือ ?

นายพลจะออกบวช
นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) 56074532aj9

นายพลท่านหนึ่งทำสงครามป้องกันชายแดนอยู่แถบทะเลทราย
เป็นเวลาถึงสิบกว่าปี ตอนนี้เมื่อนึกถึง
คมหอกศาสตราวุธและสภาพสงครามที่มีเลือดไหลนองดั่งสายน้ำ
จิตก็ยากที่จะสงบลงได้ เลยมาหาพระอาจารย์เพื่อจะขอออกบวช


พระอาจารย์ ข้าพเจ้าเบื่อสงครามเหลือเกิน ตอนนี้รู้สึกปลงไปหมดแล้ว
ขอให้พระอาจารย์เมตตา รับข้าพเจ้าเป็นศิษย์เถอะ ”


เจ้าทำสงครามมาเป็นแรมปี กลิ่นอายแห่งการฆ่ายังมีอยู่เยอะ
และยังมีครอบครัวให้เป็นห่วง ไม่เหมาะที่จะบวชตอนนี้ไว้รออีกสักระยะก่อน “
พระอาจารย์ตอบ

“ ข้าพเจ้าแม้จะอยู่ในสงครามมานาน
นั่นเป็นเพราะความจำเป็นบังคับ ข้าพเจ้าเกลียดสงครามเป็นที่สุด
ตอนนี้ข้าพเจ้าวางทุกอย่างลงได้หมดแล้ว ลูกและภรรยาครอบครัวก็ไม่เป็นปัญหา
บวชให้ข้าพเจ้าเถอะ “

“ รออีกสักระยะหนึ่งก่อน “
พระอาจารย์พูดแล้วก็เดินกลับเข้าวัด ท่านนายพลเลยจำใจต้องกลับบ้านไป

รุ่ง
ขึ้นแต่เช้าตรู่ ท่านนายพลก็มาที่วัดอีก พระอาจารย์เลยทักว่า

ท่านนายพลทำไมถึงตื่นมาไหว้พระแต่เช้า “
“เพื่อดับไฟอันร้อนรุ่มในหัวอก
เลยตื่นเช้ามาไหว้พระพุทธองค์ “

พระอาจารย์เลยเหย้าแหย่กลับไปว่า
“ตื่นแต่เช้ามาอย่างนี้ ไม่กลัวเมียมีชู้หรือ ? “

ท่านนายพลรู้สึก
โกรธจัด จึงร้องด่าออกมาตามความเคยชินที่อยู่ในสงคราม ว่า
“ !!!!!
เจ้าทำไมพูดจาทำร้ายคนขนาดนี้ “

พระอาจารย์หัวเราะเบาๆ
พูดมาเป็นโศลก ว่า
โบกพัดเพียงเบาๆ ไฟในอกก็ คุ กรุ่น
มุทะลุอย่างนี้
หรือ คือการวางลงได้แล้ว

ท่านนายพลฟังแล้วหน้าแดงกล่ำ
ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้อีก

อะไรคือโฉมหน้า
ดั้งเดิมก่อนเราเกิดมา

นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) Copyrn6

หลังจากที่พระจวีจือบวชได้ไม่นาน
วันหนึ่งมีภิกษุณีมาที่วัดภิกษุณีนั้นใส่หมวกที่สานด้วยไม้ไผ่
และถือกระบองที่ทำด้วยตะกั่ว มาถึงก็เวียนรอบพระจวีจือ 3 รอบ

“ถ้า
เจ้าพูดออกมาได้ ข้าพเจ้าจะถอดหมวกนี้ออก” พระจวีจือไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ภิกษุณีนั้นเลยขอลากลับ พระจวีจือเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว
เลยบอกให้พักค้างคืนที่วัดก่อน

“ถ้าเจ้าพูดออกมาได้
ข้าพเจ้าก็จะอยู่ก่อน” แต่พระจวีจือไม่ทราบว่า
ภิกษุณีนั้นต้องการให้พูด
อะไร หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป พระจวีจือรู้สึกสังเวชใจมาก
ที่ไม่สามารถตอบภิกษุณีนั้นได้ เมื่อพระอาจารย์ของพระจวีจือมาหา
พระจวีจือจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พระอาจารย์ไม่พูดอะไร
ได้แต่ชูหัวแม่มือให้พระจวีจือดู พระจวีจือจึงรู้แจ้งทันที

หลังจาก
นั้นเมื่อมีผู้มาถามธรรมมะ
พระจวีจือจะตอบคำถามด้วยการชูหัวแม่มืออย่างเดียว ครั้นเวลานานเข้า
สามเณรในวัดก็เลียนแบบบ้าง
ทุกครั้งที่อาจารย์ไม่อยู่
เมื่อมีผู้มาถามธรรมะ ก็จะชูหัวแม่มือขึ้นมาเหมือนกัน

เรื่องรู้ถึง
หูพระจวีจือ จึงถามเณรน้อยว่า “อะไรคือพระธรรม?”
เณรนั้นยกหัวแม่มือขึ้นมาเป็นคำตอบ
พระจวีจือเลยใช้มีดตัดหัวแม่มือนั้นจนขาด เณรน้อยนั้นร้องลั่น
พระจวีจือถามต่อทันทีว่า

“อะไรคือโฉมหน้าดั้งเดิมก่อนเราเกิดมา”
เณรน้อยยกหัวแม่มือขึ้นมาตามความเคยชิน เมื่อไม่เห็นหัวแม่มือ
จึงเกิดการรู้แจ้งขึ้นมาทันใดนั้น

( เรื่องนี้เป็นเพียงแค่นิทาน
จริงหรือเท็จอย่างไรคงไม่มีใครทราบได้ )

สังฆ
ปริณายกองค์ที่ 4 กับฝ่าหยง

นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) 0325456899copykl9

สังฆปริณายกองค์ที่ 4 มีนามว่า เต้าสิ้น
วันหนึ่งท่านผ่านไปที่ภูเขาหนิวโถว ซึ่งเป็นที่อยู่ของท่านฝ่าหยง
จึงแวะไปหา ท่านฝ่าหยงเห็นท่านเต้าสิ้นมาก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไร

เต้า
สิ้น : ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่

ฝ่าหยง : ดูจิต

เต้าสิ้น :
ใครกำลังดูจิต สิ่งที่ดูคือจิตอะไร

ฝ่าหยง : พูดไม่ออก

เต้า
สิ้น : หากอยากจะปฏิบัติธรรมจนเป็นพุทธะ ไม่จำเป็นต้องตั้งใจเพ่งจ้อง
และก็ไม่ต้องกดข่ม ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติของจิต

ฝ่าหยง :
ถ้าไม่ตั้งใจเพ่งจ้อง หากจิตกระเพื่อมจะทำอย่างไร

เต้าสิ้น :
สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีสวยไม่มีขี้เหร่
หากอยากจะแบ่งแยกดีชั่วจริงๆ พูดได้แต่เพียงว่า
ข้างในแม้จะสว่างแต่จิตไม่สงบ
ลักษณะอย่างนี้แม้ว่าจะนั่งสมาธิทุกวันก็ป่วยการไปเปล่าๆ
ที่สุดก็เป็นพุทธะไม่ได้ หากไม่ปล่อยให้จิตไปยึดติดกับสรรพสิ่ง
ก้าวพ้นออกมาจากสรรพสิ่งทั้งหลาย เจ้าจะบรรลุถึงจิตพุทธะได้

ขณะนั้น
พอดีมีเสือตัวหนึ่งดินเข้ามาหมอบนิ่งๆอยู่ใกล้ท่านฝ่าหยง
ท่านเต้าสิ้นเห็นแล้วตกใจกลัว ท่านฝ่าหยงหัวเราะแล้วพูดว่า


ท่านยังมีอย่างนี้อีกหรือ ? “

ท่านเต้าสิ้นไม่พูดอะไร
แต่ไปที่เบาะรองนั่งสมาธิของท่านฝ่าหยง แล้วเขียนคำว่า “ พุทธะ “
แล้วเชิญท่านฝ่าหยงนั่ง ท่านฝ่าหยงลังเลไม่กล้านั่ง
ท่านเต้าสิ้นหัวเราะแล้วพูดว่า

“ ท่านก็มีอย่างนี้ด้วยหรือ ? "
แล้วทั้งสองก็หัวเราะพร้อมกัน

ท่านเต้าสิ้นและท่านฝ่าหยงสนทนาธรรม
จนค่ำ ท่านฝ่าหยงจึงชวนให้ค้างคืนที่นั่น แต่ว่ามีเพียงเตียงเดียว
ท่านฝ่าหยงจึงเสียสละเตียงให้ท่านเต้าสิ้นนอน แล้วตัวเองก็ไปนั่งสมาธิ
กลางดึก ท่านเต้าสิ้นนอนกรนเสียงดังมาก

รุ่งเช้า
ท่านฝ่าหยงจึงต่อว่าท่านเต้าสิ้นว่า
เมื่อคืนนี้ท่านนอนกรนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
จนทำให้ข้าพเจ้านั่งทำสมาธิไม่ได้ ท่านเต้าสิ้นตอบว่า


เมื่อคืนนี้ท่านทำเห็บตัวหนึ่งตกลงไปที่พื้น จนขามันหักไปขาหนึ่ง
ทำให้มันร้องทั้งคืน รบกวนการนอนของข้าพเจ้าเหมือนกัน “

รู้
ว่าเดินผิดทางแล้วละ

นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) Ringgbae9

มีพระเซนรูปหนึ่ง เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม
มักออกจะท่องเที่ยวธุดงค์ไปในที่ต่างๆ
ได้พบกับคนชอบสูบบุหรี่คนหนึ่งระหว่างทาง
ทั้งสองจึงเดินร่วมทางกันไปด้วยระยะหนึ่ง ขณะที่นั่งพักอยู่ริมธาร
ชายคนนั้นได้ให้กล้องสูบยาและยาเส้นจำนวนหนึ่ง
พระรูปนั้นรับสิ่งที่คนนั้นให้มาด้วยความยินดี
จึงติดสูบยาเส้นอยู่ระยะหนึ่ง

วันหนึ่งจึงได้คิดว่า
เจ้าสิ่งนี้ทำให้ตัวเองมีความสุขมาก คงจะรบกวนการทำสมาธิแน่นอน
ถ้าหากปล่อยให้เสพติดอย่างนี้ต่อไป
ก็จะกลายเป็นความเคยชินที่ไม่ดีและแก้ยาก น่าจะเลิกเสียแต่แรกดีกว่า
จึงนำกล้องและยาไปทิ้ง

ผ่านไปอีกระยะหนึ่งก็ไปหมกมุ่นอยุ่กับคัมภีร์
“ยี่จิง” เรียนรู้จนสามารถคำนวญและทำนายอะไรต่างๆได้ วันหนึ่งในหน้าหนาว
อากาศหนาวสะท้านไปทั่ว พระเซนนั้นเลยเขียน จ.ม.
ไปขอเสื้อกันหนาวจากพระอาจารย์ของตัวเอง แต่ว่า จ.ม.ส่งออกไปตั้งนาน
นานจนหน้าหนาวผ่านไป หิมะบนภูเขาก็ละลายไปหมดแล้ว
แต่พระอาจารย์ก็ยังไม่ได้ส่งเสื้อกันหนาวมา
และก็ไม่มีข่าวคราวใดๆจากพระอาจารย์มาเลย พระรูปนั้นเลยใช้ตำราคัมภีร์
“ยี่จิง”มาผูกดวงเอง ที่สุดก็คำนวญออกมาว่า
จ.ม.ฉบับนั้นส่งไปไม่ถึงมือพระอาจารย์

เขาคิดในใจว่า แม้ว่าคัมภีร์
“ยี่จิง” จะแม่นยำ แต่ว่าถ้าเรายังหมกมุ่นอยู่กับทางเดินสายนี้
จะมุ่งมั่นแน่วแน่ปฏิบัติธรรมได้อย่างไร?
ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่ไปเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับคัมภีร์นี้อีก

หลังจาก
นั้น พระรูปนั้นก็ไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของการขีดๆเขียนๆอีก
ทุกวันก็มักจะนั่งอ่าน ค้นคว้า ขีดเขียนอยู่แต่กับหนังสือ
มีผลงานออกมาหลายเล่มจนได้รับการยกย่องจากคนในวงการไม่ขาดปาก

วูบ
หนึ่ง ท่านคิดได้ว่า “ เรากลับมาเดินห่างจากเส้นทางแห่งมรรคอีกแล้ว
ถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป เราคงจะต้องกลายเป็นนักประพันธ์ นักวิชาการ
ก็คงจะเป็นพระอาจารย์เซนไม่ได้แล้ว"

ตั้งแต่นั้นมาเลยตั้งหน้าตั้งตา
ปฏิบัติอย่างเดียว ละทิ้งทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรม
ที่สุดก็กลายเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของนิกายเซน

ตกปลา

นิทาน เซนต์...(ดีดีดี) Re041013006

มีเศรษฐีคนหนึ่ง
เห็นยาจกคนหนึ่งตกปลาอยู่ริมทะเล จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า

เศรษฐี :
เจ้าทำไมไม่คิดหาวิธีที่จะตกปลาให้ได้มากกว่านี้ เช่นว่าซื้อเรือมาสักลำ

ยาจก
: ข้าจะต้องทำอย่างนั้นทำไม

เศรษฐี : ถ้าหากเจ้าซื้อเรือ
เจ้าก็จะออกไปตกปลาได้ไกลกว่านี้ ที่นั่นย่อมมีปลามากกว่านี้

ยาจก :
หลังจากนั้นล่ะ

เศรษฐี : หลังจากนั้นเจ้าก็นำเงินที่ได้จากการตกปลา
ไปซื้อ เรือที่ใหญ่กว่านี้ ไปตกในที่ลึกกว่านี้ ย่อมจะได้ปลามากกว่านี้

ยาจก
: หลังจากนั้นล่ะ

เศรษฐี :
หลังจากนั้นเจ้าก็จะตกปลาที่นี่อย่างหมดความกังวลใดๆ

ยาจก :
ตอนนี้ข้าก็ตกปลาอยู่ที่นี่อย่างไม่มีความกังวลใดอยู่แล้ว
ขึ้นไปข้างบน Go down
http://myanter.forumotion.com
 
นิทาน เซนต์...(ดีดีดี)
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
 :: บทความทั่วไป-
ไปที่: